สิทธามหาเวทย์ : ตำนานผู้วิเศษและพ่อครูทั้ง ๑๐
โดย ทิพยจักร
เปิดตำนานยอดวิชาแห่งเมืองม่าน
ถ้าจะกล่าวถึงตำนานเรื่องราวพ่อครูเมืองม่านหรือพม่านั้น ว่ากันแล้วเรื่องราวของพ่อครูพม่านั้นเริ่มต้นตั้งแต่ยุคพันกว่าปีมาแล้วก่อนมีพม่าเสียอีก คงเริ่มมาตั้งแต่ยุคมอญรุ่งเรือง เพราะพม่าเริ่มถูกรวมแผ่นดินครั้งแรกในยุคของบาเยงนองหรือผู้ชนะสิบทิศซึ่งมีระยะเวลา ๔๐๐ กว่าปีที่ผ่านมานี่เอง
อย่างเรื่องราวของพู่พู่อ่อง ก็น่าจะมีตำนานมากกว่าพันปี จากนั้นจึงสืบสายต่อ ๆ กันมาถึงในปัจจุบัน ตำนานพ่อครูทั้ง ๑๐ ของสายวิชายาแดงนั้นถูกปิดบังเปิดเผยออกมาน้อยมาก เพราะหาผู้รู้จริงยาก และผู้รู้ก็มักไม่พูด ที่จะนำมาเล่านั้น เพราะความเมตตาของครูหย่วน ลิ่งแสง ได้เมตตามอบตำราสำคัญทั้งยันต์ ทั้งตำนาน ทั้งนี้ท่านมอบให้ พระอาจารย์ภูไทย ปภากโร วัดเขาแก้วชัยมงคล อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย และทางคณะผมได้ขออนุญาตพ่อครูหย่วนนำเรื่องราวบางส่วนออกเผยแพร่ เพื่อให้ตำนานของพ่อครูทั้ง ๑๐ ไม่สูญหายไปตามกาลเวลา และเพื่อเป็นการรักษาองค์ความรู้ที่บริสุทธิ์ ซึ่งมาจากการถ่ายทอดของคนในสายวิชาจริง ๆ อย่างเรื่องราวของพ่อครูโพมินข่องนั้น ปัจจุบันมีบางสำนักเล่าเรื่องออกมาอย่างพิสดาร ไม่มีเค้ามูลเรืองราวของท่านไว้เลย จึงทำให้เกิดความเข้าใจ หรือการเรียนรู้เรื่องราวแบบผิด ๆ ซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายชื่อเสียงของท่านทั้งที่ตั้งใจและรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ดังนั้นจึงตั้งใจจะเผยแพร่เรื่องราวของบรมครูและวิชาสายนี้ในบางส่วนที่พิจารณาว่าเปิดเผยได้ ยังไงก็ลองอ่านไว้เป็นวิทยาทานครับ ถือว่าอ่านนิทานสนุกๆก็ได้
ยอดวิชาสุ่ยหยิ่นจ่อ
วิชาในเมืองม่านนั้นเป็นสิ่งที่ได้รับมรดกมาจากมอญ โดยมอญรับมาจากคติพราหมณ์จากประเทศแม่คืออินเดีย ผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมดั่งเดิมของมอญจนก่อให้เกิดหลักวิชาอันเป็นเอกลักษณ์พร้อมๆกับตำนานที่น่าอัศจรรย์ ต่อมาหงสาวดีได้รับเอาคติความเชื่ออารยะธรรมต่างๆสืบมาจากมอญ จนกระทั่งภายหลังรวมเป็นประเทสพม่าขึ้นมา วิชาในสายเมืองมอญอันเก่าแก่และตำนานอันยิ่งใหญ่ของพ่อครูทั้ง ๑๐ จึงเป็นสุดยอดมรดกสำคัญทางจิตวิญญาณ ที่ในปัจจุบันนี้ได้ฝังรากลึกลงไปในกลุ่มผู้ปฏิบัติทั้งชาวกระเหรี่ยง ไทยใหญ่ พม่า มอญและล้านนาของไทย
บรรดาวิชาแห่งเมืองม่านทั้งหลายนั้นก็นับว่ามีมาก เช่น เช่นตำราของพู่พู่อ่องซึ่งท่านก็เป็นหนึ่งในบรมครูทั้ง ๑๐ แห่งเมืองม่าน ก็มีตำราที่เรียกว่า โลกหิตะอัคคะนียะศาสตร์ ว่าด้วยการทำปรอทสำเร็จ หรือวิชาสุ่ยหยิ่นจ่อ อันเป็นการสักยาแดง ตามวิชาของบรมครูสัจจะยามิน และนอกจากนี้ยังมีอีกหลายวิชา เช่นการเข้าฌาน มโนยิทธิ และวิชาว่านยา เป็นต้น
วิชาสายยาแดง หรือบางท่านก็เรียกว่าวิชาสายยาสัจจะ มีชื่อเต็มๆว่า สุ่ยหยิ่นจ่อ คำนี้มีความหมายในทางธรรมว่า “ชนะใจตนเอง” ซ่อนอยู่ในความหมาย ผู้ที่รับวิชาสายยาแดงหรือสายสัจจะนั้นแม้ไม่เคยเรียนพระเวทย์ ไม่ถือนั่งสมาธิแต่ก็สามารถสร้างปาฏิหาริย์ช่วยเหลือคนได้
เพราะอะไร คำตอบคือเมื่อรับวิชาสายนี้แล้ว สิ่งที่ต้องรับภาระหน้าที่คือ คุณต้องมีสัจจะในการรักษาศีล โดยมีอธิศีลหรือข้อห้ามสามข้อนอกเหนือจากการเคร่งครัดในศีล ๕ นั่นคือ
ห้ามดื่มเครื่องมึนเมา ห้ามทานเนื้อวัวเนื้อควาย ห้ามผิดลูกผิดเมียคนอื่น
สามข้อนี้ให้รักษาตลอดชีวิต ทั้งศีล ๕ ก็อย่าได้พร่องได้ผิด
วิชาสุ่ยจิ่นจ่อนั้น จะนับถือพ่อครูสัจจะยามินเป็นต้นเป็นเค้าเป็นบรมครู เรื่องความพิเศษของสายนี้ก็คือผู้รับวิชา คือผู้ได้รับการสักยาแดงลงบนตัว เมื่อสักแล้วจะได้รับทิพยอำนาจจากครูผู้วิเศษทั้ง ๑๐ สามารถใช้มือและพลังทิพย์ของครูหยิบพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยออกมาจากร่างผู้ป่วยได้ หยิบคุณไสยมนต์ดำไล่อำนาจจากภูติผีปีศาจ ขับสิ่งชั่วร้ายจากมนต์ดำออกจากตัวคนไข้ได้ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะคนผู้นั้นเก่ง แต่เป็นพลังครูและเป็นผลจากการที่คนนั้นมีสัจจะมีศีล เป็นปัจจัยเป็นสาระสำคัญ หากไม่ถือศีลไม่มีสัจจะ วิชาที่ลงไว้ก็ไม่มีความขลังอะไรเลย จะนับถือบูชากราบไหว้พ่อครูอย่างใดก็ไม่เป็นผล เพราะไม่มีศีลไม่มีสัจจะนั่นเอง
ทีนี้ผู้ที่รับของมงคลเป็นวัตถุมงคลแทนองค์ครูท่านก็ควรที่จะเว้นเรื่องเนื้อวัวเนื้อควาย ของมึนเมาทั้งหลายและเว้นจากการประพฤติผิดในกาม เรียกว่าสามข้อนี้ระวังไว้อย่างให้พลาดพลั้งเลยทีเดียวก็รับรองผลได้ครับว่าวัตถุมงคลในสายพ่อครูทั้ง ๑๐ ทุกชิ้นทุกองค์จะทรงพลานุภาพดลบันดาลให้ท่านร่มเย็นเป็นสุขสิ่งร้ายทั้งหลายไม่กล้ากล้ำกราย มนต์ดำภูติผีจะไม่มีผลต่อตัวท่านได้เลย
ด้ านปฏิบัตินั้นเอาศีล สัจจะเป็นหลักและหมั่นทำสมาธิ ภาวนาขัดเกลาจิตใจให้สงบ มองเห็นทุกข์โทษของวัฏฏสงสาร ที่จะเน้นก็คือเน้นเรื่องการภาวนา ถือศีลสัจจะเป็นหลัก เท่านี้ก็เป็นสิริมงคลกับตัวอย่างยิ่งแล้ว
ผู้ที่ร่ำเรียนวิชาสายนี้หรือสายไหนก็ตามให้ยึดหลักประการหนึ่งคือ เรายึดวิชาไหนให้ใช้วิชานั้นเป็นหลัก ถ้าจับหลายสายอาจไม่ขลังสักสายเลยก็ได้ เพราะหลักตัวเองหาไม่เจอ
เรื่องการปฏิบัติและข้อห้ามสายวิชายาแดง สุ่ยหยิ่นจ่อ
อนึ่งวิชาสายยาแดง สุ่ยหยิ่นจ่อ นั้นไม่ได้เน้นสักเพื่อหนังเหนียว แต่สักเพื่อให้ครูมาสถิตย์มีอำนาจในการถอดถอนอาถรรพ์ทุกชนิด การภาวนาสายนี้คล้ายหลวงปู่ดู่ เพราะท่านมีคำภาวนาว่า
โอง พุทธัง สะระณังคัจฉามิ โอง ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ โอง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ข้อห้ามธรรมดามาก ๆ คือศีล 5 ประกอบกับห้ามกินเนื้อวัวควาย เหล้าและห้ามผิดกาเมสุมิจฉา ข้อเสียวิชานี้ไม่มีเว้นแต่ผิดศีลปุ๊ปหรือเสียสัจจะก็เสื่อมทันที วิชาที่ได้ไปจะไม่เป็นผล
ในปัจจุบันสายวิชายาแดงก็แพร่หลายในไทยแถบภาคเหนือ และแถบตะวันตก แต่ก็ยังเป็นที่รู้จักในส่วนน้อยยังไม่นับว่าเป็นที่รู้จักในวงกว้างสักเท่าใดนัก
ประสบการณ์ของผู้รับล็อกเก็ตพ่อครูโพมินข่อง
ประสบการณ์เรื่องนี้ถูกส่งมาจากน้องท่านหนึ่งครับ เธอประสบปัญหาเรื่องวิญญาณรบกวน ทำให้เกิดความอึดอัดไม่สบายใจ มีอุปสรรคด้านต่างๆเกิดขึ้น ป่วยไข้บ่อยเป็นต้น เรื่องของเรื่องก็คือเธอผู้นี้ถูกดวงวิญญาณของเด็ก โดยเด็กผู้นี้เป็นลูกของเพื่อนที่ไปทำแท้งมา แต่ก็มักมาตามตัวเธอ โดยพยายามสื่อผ่านเธอไปบอกแม่ของเขาว่าทำบุญให้ด้วย เธอจึงกลายเป็นสื่อกลางของดวงวิญญาณเด็กที่ไม่ไปผุดเกิดอย่างไม่รู้ตัว ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ สภาพจิตใจและร่างกายที่ถูกรบกวนโดยวิญญาณอันมีผลทำให้เกิดความไม่สบายความเจ็บไข้ต่างๆทั้งกายและใจ ทั้งนี้เธอได้ส่งข้อความมาว่า..........
“.....ตั้งแต่ได้ล็อคเก็ตพ่อครูโพมินข่อง ( จัดสร้างโดยครูบาชัยมงคล วัดไทรย้อย อ.เด่นชัย จ.แพร่ ) และแผ่นยันต์บรมครูสุ่ยหยิ่นจ่อ ( จัดสร้างโดย พระอาจารย์ภูไทย วัดเขาแก้วฯ อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย ) มาก็รับรู้ได้ในบารมีของพ่อท่านแล้ว ดวงวิญญาณลูกของเพื่อนที่โดนทำแท้ง ที่มาขอให้เปิ้ลพยายามช่วยให้แม่เค้าทำบุญให้ และมาเกาะเปิ้ลตลอดเวลา ดวงวิญญาณเด็กคนนี้ก็ไม่มากวนใจเปิ้ลอีกเลยนะคะ”
เธอผู้นี้ได้บูชาล็อกเก็ตของพ่อครูโพมินข่องไปพร้อมกับได้ยันต์บรมครูสุ่ยหยิ่นจ่อ และอธิษฐานจิตให้พ้นจากการรบกวนของดวงวิญญาณ ซึ่งบารมีของพ่อครูโพมินข่องและบรมครูสุ่ยหยิ่นจ่อก็มาโปรดเธอจริง ๆ เพราะหลังจากที่เธอรับล็อกเก็ตและยันต์บรมครูสุ่ยหยิ่นจ่อไปอธิษฐานจิตแล้วก็ไม่ปรากฏว่ามีดวงวิญญาณของเด็กมารบกวนอีกเลยเรียกว่าได้รับความคุ้มครองจากบารมีพ่อครูโพมินข่องและบรมครูสุ่ยหยิ่นจ่อ
อย่างเต็มภาคภูมิและเห็นผลได้อย่างชัดเจน
หน้าที่เข้าชม | 915,714 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 491,876 ครั้ง |
เปิดร้าน | 2 มิ.ย. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 1 ก.ย. 2568 |